วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

แบบการเรียนรู้ (Learning Styles)


แบบการเรียนรู้ (Learning Styles)
คําว่า Learning Styles ในคําภาษาไทยใช้คําว่า ลีลาการเรียนรู้ หรือแบบการเรียนรู้ หรือวิธีการเรียก " ที่เป็นการปฏิบัติของผู้เรียนในการจัดการเกี่ยวกับการเรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของ หลักสูตร ซึ่งแตกต่างกันไปตามสติปัญญา ลักษณะเฉพาะของผู้เรียน และสภาพแวดล้อมทางการเรียน
แบบการเรียนรู้ (Learning Style) เป็นความคงที่ในการตอบสนองและการใช้สิ่งเร้าในบริบทของ การเรียนรู้ อาจกล่าวได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนเรียนรู้ได้ดีที่สุดด้วยกลวิธีหรือวิธีการที่สนองตอบกับความต้องการ ของผู้เรียน โดยผู้เรียนแต่ละคนมีแบบการเรียนรู้ของตนเอง ไรซ์แมนและกราส์ซา และเดวิด เอ คอล์บ ได้นําเสนอแบบการเรียนรู้ สรุปได้ดังนี้
Anthony F. Grasha and Sheryl Reichman (1980 cited in Nova Southeastern University, 2004:31) จัดผู้เรียนตามแบบการเรียนรู้ได้ 6 แบบ คือ
1. แบบอิสระ (Independent Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้เฉพาะตนเอง แสวงหาความรู้และ ประสบการณ์ด้วยตนเอง จะเรียนรู้เนื้อหาวิชาเฉพาะที่ตนเห็นว่ามีความสําคัญ เชื่อมั่นในความสามารถการ เรียนรู้ของตนเอง แต่ก็รับฟังความเห็นของผู้อื่น
2. แบบหลีกเลี่ยง (Avoidance Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการ เรียนการสอน ผู้เรียนไม่สนใจเนื้อหาวิชาที่จัดให้ ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน
3. แบบร่วมมือ (Collaboration Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ชอบที่จะทํางานร่วมกันกับผู้อื่น เรียนรู้ได้ดีด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ถือห้องเรียนเป็นแหล่งปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเรียนรู้ | เนื้อหาวิชาตลอดจนกิจกรรมนอกหลักสูตร
4. แบบพึ่งพา (Dependent Style) ) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการคําบอกเล่าว่าต้องทําอะไร อย่างไรและเมื่อไร ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการรับคําสั่ง หรืองานที่มอบหมาย อาจารย์และเพื่อนจะเป็นแหล่งความรู้ มีความต้องการเรียนรู้เฉพาะจากสิ่งที่กําหนดให้เรียนเท่านั้น
5. แบบแข่งขัน (Competitive Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่จะพยายามทําให้ดีกว่าคนอื่น ผู้เรียน ค้นหาความรู้โดยใช้หลักในการเรียนรู้ที่ผู้เรียนพยายามที่จะทําสิ่งต่างๆ ให้ได้ดีกว่าคนอื่น ใช้หลักในการเรียนรู้ เรียนเพื่อให้มีผลการเรียนดีกว่าเพื่อนในชั้นเรียน ต้องการรางวัลในชั้นเรียน เช่น คําชม หรือสิ่งของหรือ ชื่อ คะแนน มีลักษณะการแข่งขันแบบแพ้ชนะ
6. แบบมีส่วนร่วม (Participant Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมมากที่สุด ในกิจกรรมในชั้นเรียน ผู้เรียนต้องการเรียนรู้เนื้อหาวิชาในห้องเรียนและชอบที่จะเข้าชั้นเรียน แต่ไม่ต้องการที่ จะร่วมกิจกรรมที่ไม่อยู่ในรายวิชาที่เรียน
David A. Kolb (1995 อ้างในคณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ, 2543 : 19-20) จัดกลุ่มผู้เรียนตามแบบการเรียนเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. แบบนักปฏิบัติ (active experimentation) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดี เมื่อได้ลงมือปฏิบัติ การเรียนรู้เกิดจากการกระทําควบคู่ไปกับการคิด
2. แบบนักสังเกต (reflective observation) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้จากการสังเกตปรากฏการณ์ ต่าง ๆ แล้วนํามาจัดระบบระเบียบเป็นความรู้
3. แบบนักคิดสร้างมโนทัศน์ (abstract conceptualization) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้โดยวิเคราะห์ และสังเคราะห์ การรับรู้ที่ได้เป็นองค์ความรู้
4. แบบนักประมวลประสบการณ์ (concrete experience) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้โดยการ วิเคราะห์ และประเมินด้วยหลักเหตุผล
McCarthy (อ้างในศักดิ์ชัย นิรัญทวีและไพเราะ พุ่มมั่น, 2542 : 7-11) ได้ขยายแนวคิดของคอล์บ โดยเสนอแบบการเรียนรู้ 4 แบบ ดังนี้
แบบที่ 1 เป็นผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ (imaginative learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส และประมวลกระบวนการเรียนรู้จากการสังเกต นําไปสะท้อนความคิดเชิงเหตุผล ผู้เรียนกลุ่มนี้มักถามถึง เหตุผลว่า ทําไม (why) ผู้เรียนมักถามว่า ทําไมต้องเรียนสิ่งนั้นสิ่งนี้ จะต้องหาเหตุผลที่จะต้องเรียนรู้ก่อน สิ่งอื่น ๆ แล้วจะเกี่ยวข้องกับตัวเขาหรือสิ่งที่เขาสนใจอย่างไร โดยเฉพาะเรื่อง ความเชื่อ ค่านิยม ความรู้สึก ชอบขบคิดปัญหาต่าง ๆ ค้นหาเหตุผลและสร้างความหมายเฉพาะของตนเอง ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อ อภิปราย โต้วาที ใช้กิจกรรมกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ครูต้องให้เหตุผลก่อนเรียน หรือระหว่างเรียน
แบบที่ 2 เป็นผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ (analytic learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านการประมวล ข้อมูล โดยนําสิ่งที่รับรู้มาประมวลกับประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ใหม่ ๆ ผู้เรียนกลุ่มนี้จะถามเกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง คําถามที่สําคัญคือ อะไร (what) ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เหมาะสม เพื่อนําไปพัฒนาเป็นความคิดรวบยอด (concept) หรือจัดระบบระเบียบของความคิด ผู้เรียนกลุ่มนี้มุ่งเน้น รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง จะยอมรับผู้รู้จริงหรือผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีอํานาจสั่งการเท่านั้น ผู้เรียน กลุ่มนี้จะเรียนก็ต่อเมื่อรู้ว่า จะต้องเรียนอะไร อะไรที่เรียนได้ สามารถเรียนได้ดีจากการบรรยาย การ ทดลอง การทํารายงาน การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย
แบบที่ 3 เป็นผู้เรียนที่ถนัดใช้สามัญสํานึก (common sense learners) ผู้เรียนจะรับรู้โดยผ่าน กระบวนการคิดจากสิ่งที่เป็นนามธรรม กระบวนการเรียนรู้ได้จากการทดลองหรือปฏิบัติจริง มีการมองหา กลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนความรู้เพื่อนําไปใช้ คําถามที่สําคัญคือ อย่างไร (how) ผู้เรียนกลุ่มนี้สนใจทดสอบ ทฤษฎีหรือปฏิบัติจริง โดยวางแผนนําความรู้ในภาคทฤษฎีที่เป็นนามธรรมไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมใน ชีวิตจริง ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการเป็นผู้ปฏิบัติ ใฝ่หาสิ่งที่มองเห็นว่าเป็นประโยชน์และตรวจสอบว่าข้อมูลที่
ได้มานั้นสามารถใช้ได้ในชีวิตจริงหรือไม่ สนใจที่จะนําความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริง อยากรู้ว่าจะทําได้ อย่างไร รูปแบบการเรียนการสอนที่ควรเป็นก็คือ การทดลอง การให้ปฏิบัติจริง ทําจริงหรือสถานการณ์ จําลองก็ได้
แบบที่ 4 เป็นผู้เรียนที่ถนัดการปรับเปลี่ยน (dynamic learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านสิ่งที่เป็น รูปธรรมและผ่านการกระทํา คําถามที่สําคัญคือ ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ (1) ผู้เรียนจะเรียนรู้โดยลงมือทํา ในสิ่งที่ตนเองสนใจ และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง ชอบรับฟังความคิดเห็นหรือคําแนะนํา แล้วนําข้อมูลมา ประมวลเป็นความรู้ใหม่ ผู้เรียนกลุ่มนี้จะมองเห็นความซับซ้อนของสิ่งที่เรียนรู้ สามารถสร้างผังความคิด แสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ แล้วนําเสนอเป็นรูปแบบที่แปลกใหม่ การสอนผู้เรียนกลุ่มนี้ใช้วิธีการสอน แบบค้นพบด้วยตนเอง (self discovery method)
แบบการเรียนรู้ (learning styles) เป็นเพียงการจัดกลุ่มที่มีลักษณะโดยรวมเท่านั้น ไม่อาจจําแนก ได้เฉพาะเจาะจงว่าผู้เรียนคนใดคนหนึ่งจะจัดอยู่ในกลุ่มของแบบการเรียนแบบใดแบบหนึ่ง ดังที่การ์ดเนอร์ (howard gardner) ที่ได้เสนอทฤษฎีพหุปัญญา (multiple intelligence theory) 8 ด้าน คือ ด้านภาษา ด้านตรรกะและ คณิตศาสตร์ ค้านคนตรี ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านการรู้จักตนเอง ด้านความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล และด้านความเข้าใจธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ผู้สอนสามารถใช้แบบการเรียนรู้ที่มาจากสติปัญญา หนึ่งค้านหรือสองด้านเพื่อให้เกิดการเรียนการสอนมีประสิทธิผลสูงสุด โดยปกติผู้สอน ทดสอบ และการ ได้รับข้อมูลป้อนกลับประกอบด้วยสติปัญญาสองด้าน คือ ภาษา (verballinguistic) และเหตุผล (logica/mathematical) การนําแนวคิดพหุปัญญามาใช้ควรจะเป็นการใช้คุณลักษณะเด่นของสติปัญญา เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ประการสําคัญผู้สอนต้องคํานึงอยู่เสมอว่าในชั้นเรียนหนึ่ง ๆ มี ผู้เรียนทุกแบบการเรียนรู้ ดังนั้นผู้สอนจําเป็นต้องใช้แบบการสอน (teaching style) ที่หลากหลายเพื่อ ตอบสนองแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ครอบคลุม ผู้เรียนมีโอกาสได้พัฒนาความสามารถของตนเองเต็มตาม ศักยภาพ


พหุปัญญา(Multiple Intelligences)
Howard Gardner (2011) Gardner, Howard. Frames of Mind: The Theory of Multiple Intelligences. New York: Basic Books,2011. ได้พัฒนาทฤษฎีพหุปัญญาโดยทฤษฎีโต้แย้งความคิดเกี่ยวกับความเก่งและ ปัญญาของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่เคยระบุความหมายไว้แต่เดิมซึ่งเรียก “ไอคิว” (IQ) นั้นไม่เพียง พอที่จะนําไปสู่การแสดงความสามารถของมนุษย์ที่มีมากมายหลากหลาย ที่แนวคิดเดิมเน้นปัญญาของ มนุษย์เพียงสองด้าน คือ ด้านภาษาและด้านคณิตศาสตร์ การ์ดเนอร์ได้เสนอแนวคิดว่าปัญญาที่หลากหลาย หรือพหุปัญญาจะพบในทุกวิถีชีวิต การเรียนรู้ที่ดีที่สุดอาจเกิดจากตัวป้อนที่ให้ผ่านวิธีการที่ต่างกัน ผู้เรียน อาจจะทําได้ดีในเรื่องที่ไม่ใช่คณิตศาสตร์ หรืออาจจะมีกระบวนการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งกว่า ที่เหนือชั้นกว่า คนที่ แค่จําหลักคิดได้เท่านั้น การ์ดเนอร์เสนอว่าปัญญามีอยู่ 3 ด้าน ดังต่อไปนี้
1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic intelligence) เป็นปัญญาความสามารถในการใช้ถ้อยคํา (“word
smart")
            2. ปัญญาด้านตรรกะ - คณิตศาสตร์ (Logical-mathematical intelligence) เป็นปัญญา ความสามารถทางด้านจํานวนตัวเลขและเหตุผล (“number/reasoning smart”)
3. ปัญญาด้านมิติ (Spatial intelligence) เป็นปัญญาความสามารถด้านการคิดเป็นรูปภาพ สามารถมองเห็นโลกในรูปของภาพ และสามารถจําลองสร้างภาพนั้น ๆ ได้ (“picture smart”)
4. ปัญญาทางด้านคนตรี Musical intelligence เป็นปัญญาที่มีความสามารถสูงทางด้านดนตรี คือ ความสามารถและชื่นชมในเสียง ทํานองจังหวะ และสามารถผลิตสียง ทํานอง จังหวะได้ดี(“music smart”)
5. ปัญญาด้านร่างกาย การเคลื่อนไหว(Bodily-Kinesthetic intelligence) เป็นปัญญา ความสามารถพิเศษในการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกาย และในการใช้มือเพื่อจัดกระทํากับสิ่งของ “body
smart")
ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal intelligence) เป็นปัญญาความสามารถพิเศษ ในการทํางานร่วมกับผู้อื่น มีความเข้าใจผู้อื่นสามารถที่จะสังเกตรับรู้อารมณ์ ความคิดความปราถนาของ ผู้อื่น (people smart”)
7.ปัญญาค้านค้านปฏิสัมพันธ์ต่อตนเอง (Intrapersonal intelligence) เป็นปัญญาความสามารถ เข้าใจอารมณ์ของตนเองได้ดี (“self smart)
8. ปัญญาด้านการเข้าใจเรื่องธรรมชาติ (Naturalist intelligence) เป็นปัญญาความสามารถสังเกต เชื่อมโยงข้อมูลกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ (nature smart)
สาระสําคัญเกี่ยวกับทฤษฎีพหุปัญญา คือ ทุกคนมีปัญญาทั้ง 8 ค้านนี้ในตน และปัญญาแต่ละด้าน สามารถพัฒนาให้อยู่ในระดับใช้การได้ การ์ดเนอร์กล่าวสรุปไว้ว่า ปัญญาทั้ง 2 ด้านจะสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตจะไม่มีกิจกรรมใดที่ใช้เฉพาะปัญญาด้านใดด้านเดียว คําแนะนําที่ดีก็คือ ไม่ทุ่มเทไปที่ ปัญญาด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว แต่ควรจะสัมพันธ์ปัญญาหลายๆ ด้านในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา

เพิ่มเติม

ลีลาการเรียนรู้ (Learning Style)

ผู้เรียนแต่ละคนมีลีลาการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน Ferrari, Wesley, และคณะ (1996) ได้ศึกษาลักษณะการเรียนรู้ของนักศึกษา โดยใช้แบบวัดลีลาการเรียนชื่อ Grasha-Riechmann Student Learning Style (Riechmann & Grasha,1974) ที่แบ่งแบบการเรียนของนักศึกษาออกเป็น 6 แบบ ได้แก่ แบบอิสระ (Independent) แบบหลีกเลี่ยง (Avoidant) แบบร่วมมือ (Cooperative) แบบพึ่งพา (Dependent) แบบแข่งขัน (Competitive) และแบบมีส่วนร่วม (Participative) ลีลาการเรียนรู้แต่ละแบบมีพฤติกรรมการเรียนดังต่อไปนี้
1. แบบอิสระ (Independent)
ผู้ที่มีลีลาการเรียนรู้แบบอิสระชอบทาอะไรด้วยตนเอง ชอบคิดเอง ชอบทางานคนเดียวเชื่อมั่นความสามารถในการเรียนรู้ และชอบศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
2. แบบหลีกเลี่ยง (Avoidant)
ผู้ที่มีลีลาการเรียนรู้แบบหลีกเลี่ยงจะไม่สนใจกิจกรรมใดๆ ในชั้นเรียน จึงไม่ชอบทำกิจกรรมใดๆ รวมถึงการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม
3. แบบร่วมมือ (Cooperative)
ผู้ที่มีลีลาการเรียนรู้แบบร่วมมือจะมีความสุขเมื่อได้ทำงานร่วมกับผู้อื่น และชอบปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในชั้นเรียน
4. แบบพึ่งพา (Dependent)
ผู้ที่มีลีลาการเรียนรู้แบบพึ่งพาจะรอคอยฟังคาสั่งจากครู ไม่กระตือรือร้นในการเรียนและไม่มีความคิดริเริ่มทาสิ่งใดด้วยตนเอง
5. แบบแข่งขัน (Competitive)
ผู้ที่มีลีลาการเรียนรู้แบบแข่งขันจะชอบทำกิจกรรมหรืองานใด ๆ ให้เด่นที่สุดในห้อง ชอบสถานการณ์ที่ต้องมีการแข่งขัน
6. แบบมีส่วนร่วม (Participative)
ผู้ที่มีลีลาการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมจะเห็นความสำคัญของกิจกรรมทุกกิจกรรมในห้องเรียน ให้ความร่วมมือ และมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย

ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences)

เป็นทฤษฎีที่ศึกษาค้นพบโดยการ์ดเนอร์ (Gardner,1982,2000) ซึ่งได้กล่าวถึงความสามารถพิเศษของมนุษย์ไว้ว่ามีทั้งหมด 8 ด้าน และผู้สอนนิยมนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนทุกระดับ คือ
1. ความสามารถพิเศษด้านวาจา/ภาษา (Verbal/Linguistic Intelligence)
ความสามารถพิเศษด้านนี้จะเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษา บุคคลผู้มีความสามารถพิเศษนี้จะอ่อนไหวมากกับความหมายของคา และมีทักษะความสามารถในการใช้และเล่นคา ผู้มีความสามารถพิเศษด้านภาษาในขั้นสูง จะสามารถสื่อสารด้วยการฟัง พูด อ่าน เขียน และเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังตระหนักถึงหน้าที่อันหลากหลายของภาษาโดยรู้ถึงอำนาจในการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกด้วย เหล่ากวี นักเขียน นักข่าว นักพูด ทนายความ พิธีกร และนักการเมืองจะมีความสามารถพิเศษด้านนี้
2. ความสามารถพิเศษด้านตรรกะ/คณิตศาสตร์ (Logical/Mathematical Intelligence)
ความสามารถพิเศษด้านตรรกะ/คณิตศาสตร์จะรวมถึงความสามารถทั้งด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ วิศวกร นักฟิสิกส์ นักดาราศาสตร์ คอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ และนักวิจัยล้วนเป็นผู้มีทักษะด้านตรรกะ/คณิตศาสตร์ในระดับสูง ผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์นั้นรักที่จะค้นคว้าและทางานกับสิ่งที่เป็นนามธรรม สนุกกับการแก้ปัญหาที่ต้องสรรหาเหตุผลประกอบ ส่วนผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์จะต้องการที่จะอธิบายทุกสิ่งให้เป็นรูปธรรม
3. ความสามารถพิเศษด้านทัศนสัมพันธ์/มิติสัมพันธ์ (Visual/Spatial Intelligence)
ความสามารถพิเศษด้านทัศนสัมพันธ์ คือ ความสามารถที่จะเข้าใจโลกซึ่งเรามองเห็นอยู่ได้อย่างถูกต้อง ผู้มีความสามารถพิเศษด้านนี้จะนาเสนอข้อมูลทางด้านมิติให้ออกมาเป็นภาพได้และมีพรสวรรค์อันเฉียบคมในการดึงภาพจากความคิดฝันมาทาให้ปรากฏ ศิลปินและนักออกแบบจะมีทักษะนี้ เพราะสามารถที่จะสนองตอบต่อโลกแห่งภาพและมิติ สามารถนาสิ่งเหล่านั้นมาสร้างเป็นชิ้นงานศิลปะบุคคลในกลุ่มนี้รวมถึง กะลาสี วิศวกร ศัลยแพทย์ ประติมากร นักวาดแผนที่ และสถาปนิกด้วย
4. ความสามารถพิเศษด้านร่างกาย/การเคลื่อนไหว (Bodily/Kinesthetic Intelligence)
ความสามารถพิเศษด้านนี้จะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของบุคคลในการควบคุมการเคลื่อนไหวทางร่างกายและความสามารถในการพลิกแพลงหยิบจับวัตถุต่างๆ ด้วยความแคล่วคล่อง สองสิ่งนี้อาจอยู่แยกกัน แต่คนส่วนใหญ่จะมีทั้งคู่นักประดิษฐ์ และนักแสดงมักจะมีความสามารถพิเศษด้านร่างกาย/การเคลื่อนไหวในระดับสูง เพราะร่างกายมีบทบาทสำคัญยิ่งต่ออาชีพ บุคคลอื่นๆ ในกลุ่มนี้ ได้แก่ นักเต้นรา นักกีฬา และนักเล่นกายกรรม
5. ความสามารถพิเศษด้านดนตรี/จังหวะ (Musical/Rhythmic Intelligence)
ความสามารถพิเศษด้านนี้จะมีความเชี่ยวชาญในการคิดทานองดนตรีใหม่ๆ รวมไปจนถึงนักฟังเพลงไร้ประสบการณ์ที่พยายามจะฟังเพลงกล่อมเด็กให้เข้าใจ และเชื่อว่าคนเราทุกคนล้วนมีความสามารถทางดนตรีในระดับหนึ่ง ข้อแตกต่างคือบางคนมีทักษะนี้มากกว่าผู้อื่น หากไม่คำนึงถึงความสามารถขั้นสูงแล้ว ทุกคนมีความสามารถพอเพียงที่จะสนุกไปกับเสียงดนตรี อันประกอบไปด้วยระดับเสียง จังหวะ และลักษณะของเสียงดนตรีที่ผิดแผกกันเพราะมีเสียงคู่แปดมาปน บุคคลผู้มีความสามารถพิเศษด้านดนตรีสูง ได้แก่ นักร้อง นักแต่งเพลง นักดนตรี วาทยกร และผู้ที่เข้าใจซึ้งและชื่นชอบในเสียงดนตรี
6. ความสามารถพิเศษด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Interpersonal Intelligence)
ความสามารถพิเศษนี้ต่างจากด้านการรู้จักตนเองซึ่งต้องมองลึกเข้าสู่ภายใน ในการรู้จักผู้อื่นเราจะต้องมองไปที่บุคคลที่อยู่ในสภาพแวดล้อมภายนอก ความสามารถพื้นฐานของคนกลุ่มนี้คือความสามารถพิเศษในการเข้าใจผู้อื่น มีพรสวรรค์ในการสังเกตและเห็นความแตกต่างในหมู่คน สามารถเข้าใจล่วงรู้ถึงอารมณ์ ความรู้สึก แรงจูงใจและความตั้งใจของคนเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น ในระดับธรรมดาๆ เด็กเล็กจะรู้จักสังเกตและไวต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้ใหญ่รอบข้าง ถ้าเป็นระดับสูงซับซ้อนขึ้นมา ผู้ใหญ่ที่มีทักษะนี้จะสามารถอ่านใจผู้อื่นได้ว่าที่จริงแล้วต้องการอะไรแม้ผู้นั้นจะพยายามปกปิดก็ตาม บุคคลในกลุ่มนี้ ได้แก่ ผู้นาทางศาสนาและการเมือง พ่อแม่ ครู นักบาบัด และเจ้าหน้าที่แนะแนว
7. ความสามารถพิเศษด้านการรู้จักตนเอง (Intrapersonal Intelligence)
ความสามารถพิเศษประเภทนี้คือการเข้าใจความรู้สึกของตนเอง คนเหล่านี้จะเข้าใจระดับอารมณ์ของตนได้โดยสัญชาตญาณ โดยสามารถระบุอารมณ์นั้นได้และใช้เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมของตน ความสามารถพิเศษชนิดนี้เป็นความสามารถที่นอกจากจะแยกแยะความรู้สึกสบายออกจากความรู้สึกเจ็บปวดได้แล้ว ยังสามารถตัดสินใจต่อได้ว่าควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือควรถอนตัวออกจากสถานการณ์นั้นดี ตัวอย่างของบุคคลในกลุ่มนี้ ได้แก่ นักเขียนนวนิยายช่างคิด ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้ทรงภูมิปัญญา นักจิตวิทยา หรือนักบำบัด บุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เข้าใจความรู้สึกของตนเองได้อย่างลุ่มลึก
8. ความสามารถพิเศษด้านธรรมชาติ (Naturalist Intelligence)

การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อมคือกุญแจสาคัญของความสามารถพิเศษด้านนี้ ผู้มีความสามารถพิเศษด้านธรรมชาติจะรู้จักและจาแนกชนิดของสัตว์และพืชรวมไปถึงการแยกแยะความแตกต่าง และจัดหมวดหมู่สิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติได้ดี บุคคลในกลุ่มนี้ ได้แก่ นักเดินเท้าท่องเที่ยว นักพฤกษศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักสมุทรศาสตร์ สัตวแพทย์ คนสวน และเจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานแห่งชาติเมื่อผู้สอนได้ทราบลีลาการเรียนรู้ของผู้เรียน และเข้าใจความแตกต่างในความสามารถทางสติปัญญาของผู้เรียนแล้ว จึงควรต้องนำข้อมูลนี้ไปวางแผนการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับผู้เรียนแต่ละคน ตามหลักการของ Universal Design

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ชั้นบรรยากาศ

  บรรยากาศ  (atmosphere)  หมายถึง  อากาศในที่ต่าง ๆ ทั้งหมดซึ่งเป็นส่วนที่ห่อหุ้มโลกอยู่โดยรอบ  จะอยู่สูงจากผิวโลกขึ้นไปประมาณ 800-1,000 กิโ...